Spotlight

เกษสุดา ไรวา….ชื่อนี้มีแต่ความอบอุ่น

“คุณน้องนาย” หัวเรือใหญ่แห่งอาณาจักรอาหารและเครื่องดื่ม S&P ชื่อนี้มีแต่ความอร่อย มาเล่าเรื่องราวการเลี้ยงดูลูกๆ ที่กว่าจะเติบโตอย่างมีคุณภาพในแบบฉบับ S&P นั้นมีเรื่องราวที่น่าประทับใจอย่างไร


          หากเปรียบการเลี้ยงดูเด็กสักคนให้เติบโตขึ้นไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในอนาคต ให้เหมือนกับการทำอาหารที่มีรสชาติอร่อย ถูกปาก และประทับใจสำหรับคนมารับประทาน คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่ก็ไม่ยากเกินกว่าที่คุณพ่อ คุณแม่จะเรียนรู้ และหากเข้าใจอย่างแท้จริงแล้ว ก็จะพบว่าการเลี้ยงลูกให้ประสบผล เริ่มต้นจากต้นทุนที่ทุกบ้านต่างมีเท่าเทียมกัน นั่นคือ ความรัก ความเข้าใจ และความเอาใจใส่ที่ดีพอ

          ในบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความรักความอบอุ่นของเทศกาลวันแม่ในปีนี้ Issara Life Blog ได้มีโอกาสพูดคุยภายใน Penthouse ใจกลางเมืองกับ คุณเกษสุดา ไรวา หรือ ที่เรามักเรียกท่านว่า “คุณน้องนาย” หัวเรือใหญ่แห่งอาณาจักรอาหารและเครื่องดื่ม S&P ชื่อนี้มีแต่ความอร่อย มาเล่าเรื่องราวการเลี้ยงดูลูกๆ ทั้งสอง คือ เนม - ปราการ ไรวา นักร้องนำวง Getsunova และ นาม – ปรมา ไรวา ผู้บริหารสาวสวยของ แบรนด์น้องใหม่ SNP Cake Studio ที่กว่าจะเติบโตมาเป็นอาหารจานคุณภาพในแบบฉบับ S&P นั้นมีเรื่องราวที่น่าประทับใจอย่างไร


          คุณเกษสุดา หรือ คุณน้องนาย มาในชุดผ้าไทยที่ใส่แล้วดูสง่างามสมกับเป็นต้นแบบของหญิงเก่งของอาณาจักร S&P พร้อมต้อนรับทีม Issara Life Blog ด้วยชาหอมๆ สร้างบรรยากาศให้การพูดคุยกันรู้สึกเป็นกันเอง โดยคุณน้องนายเริ่มเล่าให้ฟังว่า ก่อนแต่งงานมีอาชีพเป็นนักวิเคราะห์ ทำงานสถาบันการเงิน เป็นนักการธนาคารมาเกือบ 10 ปี หลังจากแต่งงานกับ คุณหน่อย – ประเวศวุฒิ ไรวา ก็ได้เข้ามาทำงานช่วยสามีที่ S&P ซึ่งระหว่างที่ทำงานก็ได้มีลูก และถือเป็นความโชคดีที่คุณหน่อย ดูแลครอบครัวเป็นอย่างดี ภาระการเลี้ยงดูลูกจึงตกอยู่ที่คุณหน่อย ลูกๆ บ้านนี้เลยจะสนิทกับคุณพ่อมากกว่าคุณแม่ เพราะคุณแม่จะเป็น workaholic ปัจจุบันก็ยังทำงานอยู่ที่ S&P มาประมาณ 35 ปีแล้ว ดูแลทางด้านการเงินเป็นหลัก จนได้รับความไว้วางใจได้รับตำแหน่ง CEO แต่ตอนนี้ส่งต่อให้รุ่นหลานได้บริหาร ซึ่งตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งเป็น ประธานกรรมการบริหาร ช่วยส่งต่อ และสนับสนุนธุรกิจ ให้ความคิดเห็น ในระดับนโยบายเสริม และยังคงเข้าร่วมประชุมในระดับบริหาร


เมื่อตั้งครรภ์และมีลูกชีวิตจึงมีการปรับเปลี่ยนและเกิดการการเปลี่ยนแปลง

          พี่เป็นคนที่ตั้งครรภ์ยากเคยแท้งลูกมา 2 ครั้ง ทำให้ลูกคนแรกน้องเนมห่างกับลูกคนที่สองน้องนาม ถึง 5 ปี แต่ก็เป็นเรื่องดีที่เนมจะรักและเอ็นดูน้องนามมาก จะคอยมาเกาะเปลดูแลน้อง เล่นกับน้องจึงเป็นความประทับของแม่เสมอมา และเนื่องจากเป็นคนตั้งครรภ์ยาก ก็เลยต้องไปหาคุณหมอบ่อยในระยะตั้งครรภ์ จึงได้รับการประคบประหงม ดูแล ดีสุดๆ จากสามี ตอนนั้นจำได้ว่ามีอยู่คืนหนึ่งที่เราแผลงฤทธิ์แผลงเดชเยอะมากจนคุณหน่อยเอาไม่อยู่ด้วยอาการซึมเศร้าของคนท้อง จนต้องโทรหาให้เพื่อนรักที่เป็นกัลยาณมิตร คุณจุ๋ง – ศรีวรา อิสสระ มาปลอบที่บ้านเพราะตอนนั้นคุณจุ๋งก็กำลังตั้งครรภ์น้องปลาเข็มอยู่ด้วยเหมือนกัน แล้วอาการก็ดีขึ้นเมื่อเพื่อนรักพาไปทานหูฉลาม และนั่นก็เป็นความประทับใจช่วงระหว่างตั้งครรภ์


          ตอนที่มีลูกแล้ว คิดว่าชีวิตของทุกครอบครัวก็คงจะต้องเปลี่ยนไปเราได้เรียนรู้ทางโลกด้วยการอ่านหนังสือ ฟังผู้ใหญ่ว่าจะต้องดูแลอย่างไร การเลี้ยงลูกตอนนั้นก็จะผิดๆถูกๆ แต่ก็โชคดีที่ตอนนั้นมีลูกพร้อมกับเพื่อนได้แบ่งปัน ชี้นำ ปรึกษาซึ่งกันและกัน มีครอบครัวที่ใกล้ชิดกันหลายๆ ครอบครัว และที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อตอนน้องเนมอายุได้ 5 ขวบก็ได้มีโอกาสติดตามครอบครัว อิสสระ ได้รู้จักพระอาจารย์ชยสาโรเป็นครั้งแรก ก็คิดว่าเราโชคดีที่สุด เพราะนอกจากทางโลกแล้ว เราก็ได้มีหลักในการประพฤติปฎิบัติทางธรรม เข้ามาตั้งแต่ลูกอายุน้อยๆ

ความแตกต่างระหว่างลูกชาย ลูกสาว ลูกคนแรก ลูกคนที่สอง

          ลูกคนแรกน้องเนมหลังออกจากโรงพยาบาลเอากลับมาเลี้ยงต่อที่บ้านแค่อาทิตย์เดียวอุจจาระเหลว ก็ต้องรีบไปหาหมอที่ให้ช่วยดู ความพิธีพิถันจะเยอะมาก มีความกังวลมาก สำหรับลูกคนแรก ก็จะมีอาการซึมเศร้า ร้องไห้ แต่โมเม้นท์ดี ๆ ก็มีเกิดขึ้น อย่างเช่นเมื่อตื่นขึ้นมาได้ยินเสียงลูกร้องแล้วคุณหน่อยก็จะบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจะไปดูลูกเอง หรือเป็นช่วงคุณพ่อเอาลูกอยู่ที่หน้าอกและกล่อมจนลูกหลับไป ตอนตี 2 ตี 3 ซึ่งลูกคนแรกเราก็จะไม่ปล่อยไปไหนเลยดูแลเป็นอย่างดี แต่พอมาเป็นลูกคนที่สองน้องนาม ซึ่งตอนนั้นอายุได้ประมาณ 5 เดือน เราก็สามารถทิ้งลูกได้เพื่อไปสกีกับครอบครัวอิสสระได้โดยฝากไว้กับคุณย่าและพี่เลี้ยงกว่า 2 อาทิตย์

          คุณน้องนายเล่าต่อให้ฟังว่า สำหรับครอบครัวนี้แม่จะเป็นคู่กัดกับลูกสาวแต่มีความสนิทกันมาก เขาก็จะเป็นห่วงเรามาก คอยสังเกตเราทุกอย่าง มองเราว่าเราทำไมมองคนโน้นด้วยสายตาแบบนั้น น้ำเสียงแม่ทำไมเป็นแบบนี้พอเขามาว่าเรา เราก็จะของขึ้นเลย แต่ในขณะที่ลูกชายเข้ามาทักทายแม่ สวัสดี เป็นเด็กเรียบร้อย ตอนเด็กๆ นะ ยังดูลูกไม่ออก แต่พอโตขึ้นวีรกรรมก็เยอะเลย


ประสบการณ์หรือวีรกรรมสุดแสบและเรื่องราวประทับใจจากลูกทั้งสอง

          ความภูมิใจที่สุดครั้งหนึ่งของน้องเนม ตอนนั้นอายุได้ 4 ขวบเพลงคู่กัด ของเบิร์ด ธงไชยกำลังดัง วันนั้นเป็นวันเกิดของคุณย่า มีการจัดงานฉลองกัน น้องเนมก็เดินไปบนเวทีแล้วก็ร้องเพลงคู่กัดให้คุณย่า จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เราส่งลูกไปเรียนร้องเพลง จนเขาอายุประมาณ 10 ขวบก็ได้รับโอกาสที่ดีมากในการเป็นตัวแทนร้องเพลงในพิธีปิดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 13 ปี 2540 กับเพื่อน ซึ่งตอนนั้น ทาทา ยัง ร้องในพิธีเปิด จึงรู้สึกภูมิใจกับลูกมาก และก็รู้ว่าเขาชอบการร้องเพลง แต่หลังจากนั้นก็ส่งน้องเนมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่เมื่อใจรักการร้องเพลงไปแล้ว ก็ยากที่จะถอนตัวน้องเนมกลับมาออกอัลบั้มแรกกับแกรมมี่ ตอนอยู่ประมาณ ม.3 แต่ก็ต้องมีการเจรจาต่อรองเพื่อให้กลับไปเรียนต่อจนจบ และช่วงที่กำลังรอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็กลับมาออกอัลบั้ม ซึ่งก็ไม่ดังสักเท่าไหร่ แต่ก็ประสบความสำเร็จที่เขาสามารถมีอัลบั้มเป็นของตัวเองได้ ช่วงวัยรุ่นก็มีวีรกรรมสุดแสบด้วยการไม่ยอมไปเรียน เพราะไปเลือก Major ที่ไม่ชอบ จนมีวันหนึ่งทราบว่าลูกไม่ได้ไปเรียนเลยตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะปิดเราได้นานขนาดนี้ แต่ในปีต่อมาจึงเปลี่ยนมาเรียนวิชาที่ชอบด้าน Fashion Journalism ที่มหาวิทยาลัยใหม่จนจบปริญญาตรี

          สำหรับน้องนาม เราส่งเขาไปเรียนที่เมืองนอกตอน ป.4 อายุประมาณ 10 ขวบ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ฝังใจมากสำหรับเขาเพราะเขาเป็นคนใกล้ชิดกับครอบครัว พอเราผลักดันให้เข้าไปเรียนที่โรงเรียนประจำ เขาไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อน จึงเป็นความฝังใจของเขาอย่างหนึ่งว่าไม่อยากจากบ้านไปไหน อยากอยู่บ้าน แม้กระทั่งตอนไปเที่ยวกับเพื่อนๆ น้องนามเองก็จะรู้สึก Homesick อยู่ตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้องนามไปเรียนแล้วสักเทอม เขาก็วิ่งหนีลงจากรถไปขังตัวเองในห้องน้ำ แล้วพ่อก็ใจร้อน ไปทุบประตูห้องน้ำดึงกันออกมาเพื่อจะเอาไปส่งที่โรงเรียน พี่นายเห็นภาพวันนั้นก็ร้องไห้ และอยากเอาลูกกลับ แต่สุดท้ายน้องนามก็ตัดสินใจกลับไปเรียนต่อเอง แต่ภาพที่เราเห็นทุกครั้งเมื่อไปส่งลูกที่โรงเรียนจนโตถึงอายุ 14 - 15 คือเขาจะวิ่งไปที่มุมตึก ซึ่งเรามองเห็นจากรถยนต์ เห็นหน้าเศร้าๆ ตาละห้อยแล้วโบกมือ น้ำตาซึมทุกครั้งตอนเราไปส่งเข้าเรียนประจำ

เป็นครอบครัวที่มีความพร้อมทุกอย่าง สอนให้ลูกเตรียมตัวกับความไม่พร้อมที่อาจเกิดขึ้นไว้อย่างไร

          พี่นายเชื่อว่าคนเราเกิดมาในวิถีพุทธจะมีกรรมเก่าที่ติดตามมาของแต่ละคน ซึ่งสิ่งที่เราทำได้สำหรับลูกๆ เรา คือการสร้างหลักให้เขาเป็นคนเข้มแข็ง นอกจากทางร่างกายที่เราฟูมฟักดูแลเขาแล้ว เกิดมามีทั้งทุกข์ สุข เลยเน้นให้เขาได้เรียนรู้คำสอนของธรรมะพระพุทธเจ้า จากพระอาจารย์ชยสาโร และสอนให้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรม ธรรมเนียมไทย อ่อนน้อมถ่อมตน มีกริยามารยาท มีจิตใจเมตตา และสิ่งที่คุณจุ๋งเตือนอยู่เสมอคือ ถ้าเราอยู่ในความทุกข์เราก็ต้องออกมาจากความทุกข์ให้ได้ คือ ทุกข์คือคิดผิด จะต้องฝึกฝนตน ให้เกิดสติและมีปัญญา ให้เผชิญกับทุกสิ่ง ให้ชีวิตกลับสู่หนทางแห่งความสุขและสงบให้เร็วที่สุด

          อย่างเนม บางครั้งก็ยังใช้ชีวิตแบบวัยรุ่น มีดื่ม เที่ยว เล่น สังสรรค์ ส่วนน้องนาม ก็ยังเป็นคนขี้กังวลในเรื่องต่างๆ แต่ในปัจจุบันนี้ ด้วยประสบการณ์และคำสั่งสอนชีวิตที่ลูก 2 คนได้รับ คงจะช่วยประคับประครองให้ชีวิตของเขาเองมีความสุขใจได้ อย่างเนมตอนนี้ก็สุขุมเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นเมื่อมีครอบครัว มีภรรยาและลูก คือ ป้อและน้องเรน ดูแล้วเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นอีกด้วย สำหรับน้องนามก็เข้ามาสู่ธุรกิจครอบครัว S&P ด้วยการซึมซับในเรื่อง cake และอาหาร เพราะตอนเด็กๆเขาก็คุ้นเคย กับร้านอาหาร ขนมเค้กและเบเกอรี่ของ S&P อยู่เป็นประจำ นามเขาก็มีแนวคิดใหม่ๆ เลยมาเปิดแบรนด์ SNP Cake Studio เป็นแบรนด์เล็กๆ ทำเค้กที่เป็น niche market และตอนนี้ก็เตรียมเปิดร้านอาหาร Nais ในเร็วๆนี้


          สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเลยในการเลี้ยงลูก ไม่ว่ายุคสมัยไหนส่วนผสมสำคัญ ที่จะสร้างลูกเราให้เติบโตเป็นคนคุณภาพ เป็นคนดีของสังคมได้ นั่นก็คือ ความรัก ความผูกพันของครอบครัว พร้อมทั้งพ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นสายใยที่เรามอบให้และพร้อมจะดูแล เป็นหลักชีวิตที่ดีแก่เขา เพื่อให้เขาหาหนทางในการเดินทางไปในที่ถูกที่ควรด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เขาจะต้องรู้จักมากที่สุดคือต้อง รู้จักตัวเอง รู้จักช่วยเหลือตัวเองทั้งทางร่างกายและจิตใจ ฝึกฝน การทำจิตใจให้เข้มแข็ง ให้มั่งคง และมีสติ ไม่ว่าจะมีเรื่องทุกข์ หรือเรื่องสุขที่เข้ามาในชีวิตก็สามารถแก้ไข คิดบวก เพื่อให้เกิดความสุข ความสงบให้ได้